ทนายความบริษัท เอสแอลเอส (2017) จำกัด ติดต่อโทร: 099-096-4440, 063-995-3361, 02-103-1961, 02-000-4270 ไลน์: @sls2017

ทนายความบริษัท เอสแอลเอส (2017) จำกัด ติดต่อ: 099-096-4440, 063-995-3361, 02-103-1961, 02-000-4270 ไลน์: @sls2017


ชื่อผู้ตอบ:

       ทำไมบางครั้งถูกขโมยของไปแล้วศาลไม่ตัดสินให้จำเลยมีความผิด ? ทนายอาญาเรามีคำตอบ 099-096-4440

            มาตรา 334  วางหลักว่า ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวม อยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท

       มาตรา 334 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ 
      องค์ประกอบภายนอก
      
1.ผู้ใด คือ ผู้กระทำความผิด     
      2.เอาไป คือ การแย่งการครอบครองในลักษณะตัดรอนกรรมสิทธิ์ออกจากเจ้าของทรัพย์เดิม โดยการเข้าครอบครองพาทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ออกไปจากที่ที่ทรัพย์เดิมเคยอยู่ แม้เพียงเคลื่อนที่เล็กน้อยก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว         
      3.ทรัพย์ของผู้อื่น กล่าวคือ ทรัพย์ของใครก็ได้ที่มิใช่ของผู้กระทำความผิดเอง มิฉะนั้นแม้เข้าใจว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่น แต่ความจริงเป็นทรัพย์ของผู้กระทำความผิดนั้นเองก็ไม่มีความผิดเกิด เพราะขาดองค์ประกอบภายนอกนี้ 

      องค์ประกอบภายใน  
      
โดยทุจริต คือ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หากผู้กระทำไม่มีเจตนาที่จะทุจริตที่จะเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนแล้ว แม้ครบองค์ประกอบภายนอกของมาตรา 334 ก็ไม่ทำให้ผู้กระทำมีความผิด ดังเช่น

   คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๑๕/๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองจ้างให้ผู้เสียหายขับขี่รถจักรยานยนต์ไปส่ง ระหว่างทางมีการบังคับให้ผู้เสียหายเข้าไปในกระท่อม แต่ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่ ๒ เอามือรัดคอผู้เสียหายและดึงเอกุญแจรถให้กับจำเลยที่ ๑ 

      ซึ่งนั่งคร่อมรถอยู่ เมื่อมีคนผ่านมาจำเลยทั้งสองก็เอาจักรยานยนต์ไป โดยบอกผู้เสียหายว่าให้ไปเอาคืนที่โรงเรียน แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเพียงต้องการเอาจักรยานยนต์ไปใช้เพียงชั่วคราว โดยตั้งใจจะคืนให้ภายหลัง ไม่ได้กระทำเพื่อตัดกรรมสิทธิ์  อ          ตลอดไป จึงไม่ใช่การกระทำที่ถือว่าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยทั้งสองก็ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วย เอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยวิสาสะในความเป็นญาติ ไม่มีเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

       วิเคราะห์ฎีกา
       ฎีกานี้จะเห็นได้ว่าครบองค์ประกอบภายนอก คือ ผู้ใด(จำเลยทั้งสอง) เอาไป(ครอบครองขับขี่รถจักรยานยนต์ไปที่โรงเรียน) ทรัพย์ผู้อื่น(รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย) ซึ่งครบองค์ประกอบภายนอกของมาตรา 334 แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองนี้ไม่มีเจตนาที่จะเอารถจักรยายนต์ของผู้เสียหายไป กล่าวคือ มีการบอกผู้เสียหายว่าให้ไป            เอาคืนที่โรงเรียนแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเพียงต้องการเอารถจักรยานยนต์ไปใช้เพียงชั่วคราวโดยตั้งใจจะคืนให้ภายหลัง ดังนี้แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาจึงมิได้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะว่าถ้าครบองค์ประกอบภายนอกหากไม่มีเจตนาที่เป็นองค์ประกอบภายในแล้วก็จะไม่เป็นความผิดฐานนี้



คดีอาญา กับ คดีแพ่ง ต่างกันอย่างไร ? ทีมที่ปรึกษากฎหมาย เอสแอลเอส 2017 มาเล่าให้ฟังครับ 099-096-4440 


          กฎหมายอาญา    คือ ความผิดที่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องโทษ หากการกระทำใดไม่มีกฎหมายกำหนดให้การกระทำนั้นเป็นความผิดผู้นั้นก็ไม่ต้องรับผิดทางอาญา 

                                   เพราะหัวใจของกฎหมายอาญา คือ “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น

                                   บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น" ตามมาตรา 2 ของประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติไว้"

                                     ความผิดทางอาญามี 5 ฐาน ตามมาตรา 18 คือ 1.ประหารชีวิต   2.จำคุก    3.กักขัง   4.ปรับ  5.ริบทรัพย์สิน


          กฎหมายแพ่ง    มีชื่อเรียกเต็มๆว่า “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับเอกชนกับเอกชนว่ากันด้วยเรื่อง สิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่างกัน 

                                กฎหมายนี้จะเป็นการควบคุมผู้กระทำผิดโดยมุ่งหมายที่ตัวทรัพย์­สิน บทลงโทษจะเป็นการเรียกปรับ หรือสั่งให้ชดเชยค่าเสียหาย หรือค่าสินไหมทดแทน
                                คดีแพ่งนี้ไม่จำต้องเกิดข้อพิพาทระหว่างกันก็ได้ เราสามารถใช้สิทธิทางศาลโดยทำเป็นคำร้อง เช่น การขอตั้งผู้จัดการมรดก ขอให้ศาลสั่งเป็นบุคคลไร้ความสามารถ 

                                ขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองปรปักษ์(ต้องไม่มีเจ้าของที่ดินโต้แย้งมา มิฉะนั้นจะกลายเป็นคดีมีข้อพิพาท) และหากกรณีมีการโต้แย้งสิทธิระหว่างกัน

                                ก็จะทำเป็นคำฟ้อง เช่น ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญา เรียกคืนทรัพย์ที่พิพาท ละเมิด  เป็นต้น


          กฎหมายแพ่งจะต่างกับกฎหมายอาญาตรงที่ 

                                 หากการกระทำใดไม่มีบทกฎหมายมาปรับใช้แก่คดี ศาลจะอ้างว่าไม่มีกฎหมายไม่มีโทษแบบคดีอาญาไม่ได้ ศาลต้องดูกฎหมายแพ่งเป็นหลัก ไม่มีใช้ “จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น” 

                                 ไม่มีอีกใช้ “ บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง” และหากไม่มีอีกอย่างสุดท้ายต้องวินิจฉัยตาม “หลักกฎหมายทั่วไป”ดังที่บัญญัติไว้ ป.พ.พ.มาตรา 4        


          สรุป กฎหมายอาญา เน้นลงโทษผู้กระทำผิดเป็นสำคัญ กฎหมายแพ่ง เน้นเยียวยาความเสียหาย


       

ในคดีแพ่ง กับ คดีอาญา หากคดีขาดอายุความแล้วลืมต่อสู้ผลเป็นอย่างไร ทนายอาญา และทนายคดีแพ่งของเรามีคำตอบ 099-096-4440

คดีแพ่ง

        คดีแพ่งขาดอายุความแล้วหากไม่มีการโต้แย้งไว้ในคำให้การ จะทำให้ไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดี เพราะการที่ศาลจะตั้งประเด็นข้อพิพาทได้ศาลต้องพิจารณาตามที่ปรากฏตามเนื้อหาในคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 

        เมื่อไม่เกิดประเด็นในเรื่องอายุความแล้ว ศาลก็ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยไปถึงเรื่องนี้ เนื่องจากคำพิพากษาของศาลจะวินิจฉัยเกินหรือนอกคำฟ้องหาได้ไม่ อีกทั้งการขาดอายุความในคดีแพ่ง ศาลไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เหมือนดังคดีอาญา จึงไม่เข้า ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฯ

คดีอาญา

        คดีอาญาขาดอายุความแล้ว ทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(6) ดังนั้นไม่ว่าจะได้ให้การต่อสู้ไว้หรือไม่ เมื่อศาลเห็นเองศาลสามารถหยิบยกประเด็นเรื่องขาดอายุความมาพิจารณายกฟ้องได้ 

        เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยฯ ตาม ป.วิ.อ. ม.15 ประกอบ ป.วิ.อ. ม.142(5)และตาม ป.วิ.อ. ม.185 ก็ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยคดีขาดอายุความแล้ว ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้ ไม่ว่าคดีจะอยู่ชั้นใดก็ตาม ศาลหยิบประเด็นเรื่องนี้เองได้โดยไม่จำต้องมีผู้ใดได้โต้แย้งเรื่องนี้ไว้



 ความผิดอันยอมความได้อายุความเท่าไหร่น้า?  ทีมทนายความคดีอาญามีคำตอบ 099-096-4440

           ความผิดอันยอมความได้ หากไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ หรือมีการฟ้องร้องต่อศาลเอง ตำรวจหรืออัยการไม่มีอำนาจทำคดีนะคะ 

            อายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 กรณีความผิดอันยอมความได้ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่อง รู้ตัว (ต้อง 2 รู้นะ) หากไม่ทำภายใน 3 เดือนนี้ คดีขาดอายุความ 

             เมื่อคดีขาดอายุความแล้ว สิทธิการฟ้องคดีต่อศาลเป็นอันระงับ ตาม มาตรา 39 (6) ตาม ป.วิ.อ

      

          คดีฉ้อโกงทำอะไรบ้างถึงมีความผิด หากทำไม่ครบเงื่อนไขก็พ้นผิดได้ทันที ทีมทนายอาญาเอสแอลเอส มาอธิบายให้ฟังครับ สอบถามเพิ่มเติม 099-096-4440

 ฉ้อโกง คือ การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้นก็คือการหลอกลวงคนอื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ควรบอก ซึ่งเป็นการกระทำโดยทุจริต  และการหลอกลวงทำให้ได้ทรัพย์สินไปจากผู้ถูกหลอกลวงหรือคนอื่นๆ 

                หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือคนอื่นต้องทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิการหลอกลวงนี้หากทำไปไม่ถึงขั้นสำเร็จได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หรือ ยังมิได้มีการถอน หรือ ทำลายเอกสารสิทธิก็เป็นเพียงขั้นพยายามเท่านั้น จะเป็นความผิดฐานพยายามฉ้อโกง

 ฉ้อโกงมีความแตกต่างกับลักทรัพย์
          ตรงที่มีการ "หลอกลวง" ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์ หรือ ถอน หรือ ทำลายซึ่งเอกสารสิทธิ ซึ่งการลักทรัพย์นี้ไม่ต้องกมีการหลอกลวงโดยแสดงข้อความใด ๆ เพียงแต่เอาทรัพย์นั้นที่เป็นของผู้อื่นไปเป็นของตนเพียงเท่านั้น
          และการเอาทรัพย์ไปของลักทรัพย์ต้องเป็นทรัพย์สิน ไม่เหมือนฉ้อโกงตรงที่จะเป็นทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์ในทางทรัพย์สินก็ได้ 

 องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง

 องค์ประกอบภายนอก
          1. หลอกลวงด้วย
             - แสดงข้อความอันเป็นเท็จ คือ การแสดงข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยกฎหมายมิได้จำกัดวิธีการไว้ว่าต้องแสดงโดยวิธีใด อาจจะกระทำโดยทางวาจา โดยกิริยาอาการท่าทาง โดยลายลักษณ์อักษร
            - ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งซึ่งเป็นการกระทำซ่อนเร้นข้อเท็จจริงมิให้คู่กรณีรู้ กล่าวคือ มีข้อความจริงอยู่และผู้กระทำก็ไม่ได้แสดงข้อความนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้กระทำปกปิดข้อความจริงบางอย่างมิให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ความจริง 

              ซึ่งเป็นผลให้อีกฝ่ายหนึ่งสำคัญผิดได้ และที่สำคัญต้องเป็นข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง ถ้าไม่มีหน้าที่ที่ต้องบอกก็ไม่ผิดหากไม่แจ้ง


          2.ผู้อื่น


          3.โดยการหลอกลวงดังว่านั้น

          - ได้ทรัพย์สินไปจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม 

             คำว่า ทรัพย์สินนั้น อาจได้ไปทั้งทรัพย์ที่มีรูปร่าง หรือ ทรัพย์ไม่มีรูปร่างก็ได้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงประโยชน์ในลักษณะอันเป็นทรัพย์สิน

          - ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ

            คำว่า เอกสารสิทธิ หมายถึง เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ

            

             องค์ประกอบภายใน
            1.เจตนาธรรมดาคือ 

               ผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลหรือประสงค์ต่อผล
            2.เจตนาพิเศษ คือ ทุจริต
               การทุจริต กล่าวคือ การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและผู้อื่น เป็นประโยชน์ในทางใดก็ได้ มิจำเป็นต้องประโยชน์ทางทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว


Visitors: 121,568